Friday, 8 February 2008

ลิงตัวที่ร้อย

ประมวลจากเรื่องเล่าของอาจารย์ประเวส วสี

.
นักวิทยาศาสตร์ชาวญี่ปุ่นศึกษาวิจัยพฤติกรรมของลิงกังสายพันธุ์หนึ่งบนเกาะโคชิมาใกล้ๆ กับเคียวชูในช่วงราว ๆ ปี พ.ศ. 2595 ตีพิมพ์ผลงานวิจัยในวารสารวิชาการJapan Monkey Center in Vol. 2, 5, and 6 of the journal Primates

[ไลอัล วัตสัน ผู้ทำให้วลี "ลิงตัวที่ร้อย" ตืดตลาด]
จากนั้นนายแพทย์ไลอัล วัตสัน ผู้สนใจวิทยาศาสตร์แห่งชีวิต (life science) เอามาแต่งและต่อเติมให้อ่านง่ายและอ่านสนุกในหนังสือที่ตีพมพ์เมื่อปี 2522 (Lyall Watson: Litetide, 1979) จนได้รับสมอ้างว่าเป็นคนทำให้คำว่า “Hundredth Monkey Effect” เป็นที่รูจักกัน

นายแพทย์วัตสันเล่าว่า ลิงที่เกาะโคชิมาหลายร้อยตัวไม่เคยเห็นไม่เคยลิ้มรสมันเทศมาก่อน ดังนั้น เมื่อนักวิจัยเอามันเทศกองโตมาโยนทิ้งไว้ตามชายหาดทรายที่มีโคลนเต็มไปหมด มันเทศจมกับทรายและโคลนตม ฝูงลิงจึงไม่สนใจ

มันเทศกองอยู่นานหลายชั่วโมง แล้วลิงตัวหนึ่งก็ได้ลงมาหยิบมันเทศไปแกว่งในน้ำทะเล ล้างโคลนตมและทรายแล้วกัดกินมันเทศหัวนั้น ลิงตัวแรกส่งสัญญาณภาษาลิงให้แม่และเพื่อนลิงในฝูงให้ไปลองกินดู แต่ลิงส่วนใหญ่ก็ยังไม่สนใจ

แล้วจากนั้นก็ค่อย ๆ มีลิงในฝูงบางตัวลงไปหยิบมันเทศกัดกินทีละตัวสองตัว จากนั้นอีกพักใหญ่ ก็เกิดเรื่องเหลือเชื่อขึ้น เมื่อลิงในฝูงทยอยกันลงมากินมันเทศแช่น้ำทะเลถึงจำนวนหนึ่ง ลิงทั้งฝูงก็กรูกันลงไปที่ชายฝั่งฉวยมันเทศมาแกว่งน้ำทะเลกันกัดกินอย่างพร้องเพียง

เรื่องนี้มีผู้ติดตามและแย้งคำกล่าวอ้างของวัตสัน แต่เรื่องนี้ก็กลายเป็นตำนานไปแล้ว

Wikipedia ตีพิมพ์เรื่องนี้ไว้เช่นกัน

The “Hundredth Monkey Effect” is a supposed phenomenon in which a learned behaviour spreads instantaneously from one group of monkeys to all related monkeys once a critical number is reached. By generalisation it means the instant, paranormal spreading of an idea or ability to the remainder of a population once a certain portion of that population has heard of the new idea or learned the new ability. The story behind this supposed phenomenon originated with Lyall Watson, who claimed that it was the observation of Japanese scientists. Such an observation did not exist (e.g. Myers 1985, Amundson 1985, 1991). One of the primary factors in the promulgation of the myth is that many authors quote secondary or tertiary (or worse) sources who have themselves misrepresented the original observations.

The story of the “Hundredth Monkey Effect” apparently originated with Lyall Watson in his 1979 book Lifetide. In it he claimed to describe the observations of scientists studying macaques (a type of monkey) on the Japanese island of Koshima in 1952. Some of these monkeys learned to wash sweet potatoes, and gradually this new behavior spread through the younger generation of monkeys—in the usual fashion, through observation and repetition. However, Watson claimed that the researchers observed that once a critical number of monkeys was reached—the so-called hundredth monkey—this previously learned behaviour instantly spread across the water to monkeys on nearby islands.

This story was further popularized by Ken Keyes, Jr. with the publication of his book The Hundredth Monkey. Keyes presented the “Hundredth Monkey Effect” story as an inspirational parable, applying it to human society and the effecting of (positive) change therein. Since then, the story has become widely accepted as fact, and has even appeared in books written by some educators.

The content of the book by Keyes was a substantive treatise on the effects of nuclear war on the planet and the devastation caused thereon.

น้ำชาล้นถ้วย

Power Point ของผมตอนเริ่ม Workashop คือภาพถ้วยชาที่มีน้ำล้น และบรรยายสั้นว่า กติกาข้อแรกคืออย่าทำตัวเป็นถ้วยชาที่มีน้ำชาอยู่เต็มถ้วยแล้ว ก็คงมีผู้เข้ารับการอบรมหลายคน อยากฟังเรื่องเต็มของนิทานเซ็นเรื่องนี้ จึงขอคัดมาให้ท่านอ่านกันให้จุใจ


ท่านพุทธทาสภิกขุเล่านิทานเซ็นเรื่อง น้ำชาล้นถ้วย

เรื่อง น้ำชาล้นถ้วย คือว่า อาจารย์ แห่งนิกายเซ็น ชื่อ น่ำอิน เป็น ผู้มีชื่อเสียง ทั่วประเทศ และ โปรเฟสเซอร์ คนหนึ่ง เป็น โปรเฟสเซอร์ ที่มีชื่อเสียง ทั่วประเทศ ไปหา อาจารย์น่ำอิน เพื่อขอศึกษา พระพุทธศาสนา อย่างเซ็น ในการต้อนรับ ท่านอาจารย์ น่ำอิน ได้รินน้ำชา ลงในถ้วย รินจนล้นแล้วล้นอีก โปรเฟสเซอร์ มองดูด้วยความฉงน ทนดูไม่ได้ ก็พูดโพล่งออกไปว่า "ท่านจะใส่มัน ลงไปได้อย่างไร" ประโยคนี้ มันก็แสดงว่า โมโห ท่านอาจารย์ น่ำอิน จึงตอบว่า" ถึงท่านก็เหมือนกัน อาตมาจะใส่อะไร ลงไปได้อย่างไร เพราะท่านเต็มอยู่ด้วย opinions และ speculations ของท่านเอง" คือว่า เต็มไปด้วยความคิด ความเห็น ตามความ ยึดมั่นถือมั่น ของท่านเอง และมีวิธีคิดนึก คำนวณ ตามแบบ ของท่านเอง สองอย่างนี้แหละ มันทำให้เข้าใจ พุทธศาสนาอย่างเซ็น ไม่ได้ เรียกว่า ถ้วยชามันล้น

ท่านครูบาอาจารย์ทั้งหลาย จะเตือนสติเด็กของเราให้รู้สึกนึกคิด เรื่องอะไรล้น อะไรไม่ล้น ได้อย่างไร ขอให้ช่วยกันหาหนทาง ในครั้งโบราณ ในอรรถกถา ได้เคย กระแหนะกระแหน ถึง พวกพราหมณ์ ที่เป็น ทิศาปาโมกข์ ต้องเอาเหล็กมาตี เป็นเข็มขัด คาดท้องไว้ เนื่องด้วย กลัวท้องจะแตก เพราะวิชาล้น นี้จะเป็นเรื่อง ที่มีความหมายอย่างไร ก็ลองคิดดู พวกเรา อาจล้น หรือ อัดอยู่ด้วยวิชาทำนองนั้น จนอะไรใส่ ลงไปอีกไม่ได้ หรือ ความล้นนั้น มันออกมา อาละวาด เอาบุคคลอื่น อยู่บ่อยๆ บ้างกระมัง แต่เราคิดดูก็จะเห็นได้ว่า ส่วนที่ล้น นั้น คงจะเป็นส่วน ที่ใช้ไม่ได้ จะจริงหรือไม่ ก็ลองคิด ส่วนใดที่เป็นส่วนที่ล้น ก็คงเป็น ส่วนที่ใช้ไม่ได้ ส่วนที่ร่างกาย รับเอาไว้ได้ ก็คงเป็น ส่วนที่มีประโยชน์ ฉะนั้น จริยธรรมแท้ๆ ไม่มีวันจะล้น โปรดนึกดูว่า จริยธรรม หรือ ธรรมะแท้ๆ นั้น มีอาการล้นได้ไหม ถ้าล้นไม่ได้ ก็หมายความว่า สิ่งที่ล้นนั้น มันก็ไม่ใช่จริยธรรม ไม่ใช่ธรรมะ ล้นออกไป เสียให้หมด ก็ดีเหมือนกัน หรือ ถ้าจะพูดอย่างลึก เป็นธรรมะลึก ก็ว่า จิตแท้ๆ ไม่มีวันล้น อ้ายที่ล้นนั้น มันเป็นของปรุงแต่งจิต ไม่ใช่ตัวจิตแท้ มันล้นได้มากมาย แต่ถึงกระนั้น เราก็ยังไม่รู้ว่า จิตแท้คืออะไร อะไรควรเป็น จิตแท้ และอะไรเป็นสิ่ง ที่ไม่ใช่จิตแท้ คือ เป็นเพียง ความคิดปรุงแต่ง ซึ่งจะล้นไหลไปเรื่อย นี่แหละ รีบค้นหาให้พบ สิ่งที่เรียกว่า จิตจริงๆ กันเสียสักที ก็ดูเหมือนจะดี

ในที่สุด ท่านจะพบตัวธรรมะอย่างสูง ที่ควรแก่นามที่จะเรียกว่า จิตแท้ หรือ จิตเดิมแท้ ซึ่งข้อนั้น ได้แก่ ภาวะแห่งความว่าง จิตที่ประกอบด้วย สภาวะแห่งความว่างจาก "ตัวกู-ของกู" นั้นแหละ คือ จิตแท้ ถ้าว่างแล้ว มันจะเอาอะไรล้น นี่เพราะเนื่องจากไม่รู้จักว่า อะไรเป็นอะไร จึงบ่นกันแต่เรื่องล้น การศึกษาก็ถูกบ่นว่า ล้น และที่ร้ายกาจที่สุด ก็คือ ที่พูดว่า ศาสนานี้ เป็นส่วนที่ล้น จริยธรรมเป็นส่วนล้น คือส่วนที่เกิน คือ เกินต้องการ ไม่ต้องเอามาใส่ใจ ไม่ต้องเอามาสนใจ เขาคิดว่า เขาไม่ต้อง เกี่ยวกับศาสนา หรือธรรมะเลย เขาก็เกิดมาได้ พ่อแม่ก็มีเงินให้ เขาใช้ให้เขาเล่าเรียน เรียนเสร็จแล้ว ก็ทำราชการ เป็นใหญ่เป็นโต ได้โดยไม่ต้อง มีความเกี่ยวข้อง กับศาสนาเลย ฉะนั้น เขาเขี่ยศาสนา หรือ ธรรมะ ออกไปในฐานะ เป็นส่วนล้น คือ ไม่จำเป็น นี่แหละ เขาจัดส่วนล้น ให้แก่ศาสนาอย่างนี้ คนชนิดนี้ จะต้องอยู่ ในลักษณะที่ ล้นเหมือน โปรเฟสเซอร์คนนั้น ที่อาจารย์น่ำอิน จะต้อง รินน้ำชาใส่หน้า หรือ ว่ารินน้ำชาให้ดู โดยทำนองนี้ทั้งนั้น เขามีความเข้าใจผิดล้น ความเข้าใจถูกนั้นยังไม่เต็ม มันล้นออกมา ให้เห็น เป็นรูปของ มิจฉาทิฎฐิ เพราะเขาเห็นว่า เขามีอะไรๆ ของเขาเต็มเปี่ยมแล้ว ส่วนที่เป็นธรรมะ เป็นจริยธรรมนี่ เข้าไม่จุ อีกต่อไป ขอจงคิดดูให้ดีเถอะว่า นี้แหละ คือ มูลเหตุที่ทำให้จริยธรรม รวนเร และ พังทลาย ถ้าเรามีหน้าที่ ที่จะต้องผดุงส่วนนี้แล้ว จะต้องสนใจเรื่องนี้

นิทานเซ็น มหรสพทางวิญญาณเพื่อจริยธรรม เล่าโดย.. ท่านพุทธทาสภิกขุ แห่งสวนโมกขพลาราม ณ หอประชุมคุรุสภา พุทธศักราช ๒๕๐๕ พิมพ์โดย ธรรมสภา

ตายหยังเขียด - สามสำนวน

ผู้ผ่านการอบรมหลักสูตร Who Moved My Cheese? คงจำเพลงและเรื่องตายหยังเขียดได้

ตายหยั่งเขียด 3 สำนวน
อาจารย์ขวัญฤดีกับผม ยกเรื่องเขียดกับกบ เพื่อเป็น backward design นำผู้เข้ารับการอบรมไปสู่ความจำเป็นที่จะต้องเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อสอดรับกับโลกที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว
นอกรอบหลังการสอน เราก็มักจะๆได้ฟัง version เด็ด ๆ เรื่อง ตายหยั่งเขียด จะนำไปเล่าต่อก็ใช่ที่ เพราะเวลาน้อย จึงรวบรวม 3 สำนวนที่น่าสนใจมาฝากชาว blog
สำนวนแรกอาจารย์ขวัญฤดีได้มาจากผู้จัดการสาขาธนาคารใหญ่แห่งหนึ่งในภาคออีสาน เมื่อครั้งจัดอบรมที่ศูนย์ฝึกเชิงเขาใหญ่ เรื่องมีอยู่ว่า
กาลครั้งหนึ่ง มีพระธุดงค์รูปหนึ่งเดินธุดงค์มานานปี หลวงพี่ไม่ชอบจำวัดนอกจากฤดูเข้าพรรษา หลวงพี่รูปนี้มีองคชาติใหญ่และยาวมาก

วันหนึ่งหลวงพี่ไปนั่งฐาน (ปลดทุกข์) กลางป่า จึงหักไม้สามง่ามมาค้ำองคชาติไว้ ไม่ให้เกะกะ
แต่แล้วจู่ ๆ มีเขียดตัวหนึ่งกระโดดมาอย่างไม่รู้เหนือรู้ใต้ มันไม่ทันได้สังเกตเห็นไม้สามง่ามที่หลวงพี่ปักไว้ จึงกระโดดไปชนเข้าอย่างแรง จนไม้ล้ม องคชาติมหึมาของหลวงพี่จึงตกลงมาทับเจ้าเขียดน้อยตายคาที่ หลวงพี่จึงสวดอภิธรรมและแผ่ส่วนบุญให้เจ้าเขียดที่ชะตาขาด แล้วก็ยกองคชาติขนาดยักษ์พาดไม้สามง่ามใหม่พร้อมกับปลดทุกข์ต่อ

แต่หลวงพี่ยังไม่ทันเสร็จธุระดี ก็มีงูตัวหนึ่งเลื้อยตามรอยเขียดมา หลวงพี่เห็นงูก็ตกใจกลัวงูจะกัด แต่ยังทำธุระไม่เสร็จดี จะลุกก็ใช่ที่ หลวงพี่จึงชี้หน้างู แล้วพูดว่า เจ้าอย่ามาใกล้อาตมาเชียวนะ เดี๋ยวก็ “ตายอย่างเขียด” หรอก อย่าหาว่าอาตมาไม่เตือนนะ

งูร้ายจึงเลื้อยไปทางอื่นด้วยความตกใจกลัว
-----------------------------------------------

ส่วน version ที่สอง ผมได้มาจาก ผู้เข้ารับการอบรมที่ทำงานด้านสัตว์น้ำจากภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ในการอบรมครั้งหนึ่งในกรุงเทพ แถวเขตบางเขน เรื่องก็มีอยู่ว่า

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มียายคนหนึ่ง มีอาชีพทำนาอยู่ริมเขตดงพญาเย็น

วันหนึ่ง ฝนตกลงมาแต่เมื่อคืนถึงเช้า ตกสายฝนหายแล้ว ยายแกก็ออกไปทำนาในท้องนาตามปกติ หลังฝนตกทั้งกบทั้งเขียดออกมาเต็มท้องนาไปหมด

ทำนาปักหนึ่ง ยายแกเกิดปวดท้องเบาขึ้นมา แถวนั้นไม่มีส้วม และก็ปลอดคนด้วย ยายเลยถกผ้าถุง นั่งฉี่ตรงเถียงนา โดยไม่ได้ดูให้รอบคอบ จึงฉี่รดหัวเขียดตัวหนึ่งพอดี เขียดตัวนั้นกำลังจ้องรอจังหวะจะกินเมลงตัวหนึ่งอยู่พอดี เมื่อฉี่อุ่น ๆ ของยายสัมผัสหัวเขียด เขียดก็ตกใจ กระโดดไปข้างหน้าสุดแรงเกิด

ปรากฏว่าเขียดเจ้ากรรมชะตาขาด มันกระโดดไปไม่ได้ไม่ไกล .อารามตกใจมันกระโดดเข้าไปติดตรงกลางช่องลับของยายแกพอดี

ยายแกตกใจพอ ๆ กับ เขียน ลุกขึ้นยืนทันที ทั้ง ๆ ที่เจ้าเขียดยังติดอยู่ตรงกลางของลับ ยายยิ่งตกใจใหญ่ ไม่รู้ตัวอะไรเข้าไป ดุกดิก ๆ อยู่ปากของลับ จึงยืนตัวแข็งทื่อแข็งอยู่อย่างนั้นมาก

กว่ายายจะตั้งสติได้ ค่อย ๆ อ้าขาออก เขียดผู้น่าสงสารตัวนั้นก็ตกลงมานอนหงายท้องตายแน่นิ่งอยู่กับพื้นนา ตายสนิท

นิทานเรื่องจึงเป็นที่มาของวลี "ตายหยังเขียด"


สองสำนวนที่ผ่านมาก็เป็นเรื่องต่ำกว่าสะดือ ตามวัฒนาธรรมพื้นบ้านของชาวไทยเรานะครับ แลละที่น่าสนใจมากไปกว่านั้นก็คือสำนวนแรกผู้ถ่ายทอดให้อาจารย์ขวัญฤดีเป็นผู้จัดการหญิงครับ ส่วนเรื่องที่สองผมได้รับการถ่ายทอดจากนักวิชาการผู้ชายครับ

สำนวนสุดท้ายทันสมัยครับ

เมื่อเร็วนี้ มีกบกับเขียดคู่หนึ่งเป็นเพื่อนสนิทกัน
เจ้ากบมักข้ามถนนกลับไปกลับเพื่อหาแมลงเสมอ
ส่วนเจ้าเขียดคุ้นเคยกับการหาอาหารอยู่ฝั่งเดียว

วันหนึ่งเจ้าเขียดเห็นเจ้ากบข้ามถนนกลับมาจากอีกฝั่งหนึ่ง
ก็ถามกบว่าข้ามถนนยังไง ข้าอยากรู้ จะได้ข้ามไปหาอาหารฝั่งโน้นบ้าง

กบบอกเขียดว่า จะไปยากอะไร เจ้าก็กระโดดไปเรื่อย ๆ
เเล้วพอรถมาเจ้าก็หลบตรงกลางที่ไม่มีล้อ
เพราะรถมีสี่ล้อ ข้างละสองล้อ ตรงกลางจะมีช่องว่าง ให้หลบตรงนั้น
พอรถผ่านไปแล้ว ก็กระโดดต่อไปเรื่อย ๆ จนถึงอีกฝั่งหนึ่ง

เจ้าเขียดรู้เคล็ดลับการข้ามถนนจากเพื่อนสนิทแล้วก็ดีใจ
ทบทวนบทเรียนจนมั่นใจแล้ว
วันต่อมาจึงตัดสินใจเดินทางข้ามถนนเป็นครั้งแรก
เจ้าเขียดโดดไปกลางถนน
พอได้ยินเสียงรถมาเจ้า เขียดก็เตรียมหลบตามสูตรที่เจ้ากบบอก

แต่อนิจจา ชะตาเจ้าเขียนขาด
รถคันแรกที่ขับมาทางเจ้าเขียด ....
เป็นรถ “สามล้อ”
จึงมีอีกล้อตรงกลาง นอกจากสองล้อข้าง ๆ
เรื่องนี้กบไม่ได้สอนเขียด อาจจะเพราะไม่เคยพบ

เจ้าเขียดผู้โชคร้ายจึงถูกล้อกลางของสามล้อเครื่องทับแบนเต็ดแต๋อยู่กลางถนน

เป็นการ “ตายหยังเขียด” !!!

Who Moved My CheeseM รุ่น 40 - การไฟฟ้าฝ่ายผลิต


รุ่นที่ 44 จัดให้กับการไฟฟ้าฝ่ายผลิต เมื่อวันที่ 24 กันยายน 2550 ณ ห้องฝึกอบรม สำนักงานใหญ่ บางกรวย มีผู้เข้ารับการอบรมประมาณ 30 ราย


[ก่อนอื่น ...]


[สุนทรียสนทนา]