
ตายหยั่งเขียด 3 สำนวน
อาจารย์ขวัญฤดีกับผม ยกเรื่องเขียดกับกบ เพื่อเป็น backward design นำผู้เข้ารับการอบรมไปสู่ความจำเป็นที่จะต้องเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อสอดรับกับโลกที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว
นอกรอบหลังการสอน เราก็มักจะๆได้ฟัง version เด็ด ๆ เรื่อง ตายหยั่งเขียด จะนำไปเล่าต่อก็ใช่ที่ เพราะเวลาน้อย จึงรวบรวม 3 สำนวนที่น่าสนใจมาฝากชาว blog
สำนวนแรกอาจารย์ขวัญฤดีได้มาจากผู้จัดการสาขาธนาคารใหญ่แห่งหนึ่งในภาคออีสาน เมื่อครั้งจัดอบรมที่ศูนย์ฝึกเชิงเขาใหญ่ เรื่องมีอยู่ว่า
กาลครั้งหนึ่ง มีพระธุดงค์รูปหนึ่งเดินธุดงค์มานานปี หลวงพี่ไม่ชอบจำวัดนอกจากฤดูเข้าพรรษา หลวงพี่รูปนี้มีองคชาติใหญ่และยาวมาก
วันหนึ่งหลวงพี่ไปนั่งฐาน (ปลดทุกข์) กลางป่า จึงหักไม้สามง่ามมาค้ำองคชาติไว้ ไม่ให้เกะกะ
แต่แล้วจู่ ๆ มีเขียดตัวหนึ่งกระโดดมาอย่างไม่รู้เหนือรู้ใต้ มันไม่ทันได้สังเกตเห็นไม้สามง่ามที่หลวงพี่ปักไว้ จึงกระโดดไปชนเข้าอย่างแรง จนไม้ล้ม องคชาติมหึมาของหลวงพี่จึงตกลงมาทับเจ้าเขียดน้อยตายคาที่ หลวงพี่จึงสวดอภิธรรมและแผ่ส่วนบุญให้เจ้าเขียดที่ชะตาขาด แล้วก็ยกองคชาติขนาดยักษ์พาดไม้สามง่ามใหม่พร้อมกับปลดทุกข์ต่อ
แต่หลวงพี่ยังไม่ทันเสร็จธุระดี ก็มีงูตัวหนึ่งเลื้อยตามรอยเขียดมา หลวงพี่เห็นงูก็ตกใจกลัวงูจะกัด แต่ยังทำธุระไม่เสร็จดี จะลุกก็ใช่ที่ หลวงพี่จึงชี้หน้างู แล้วพูดว่า เจ้าอย่ามาใกล้อาตมาเชียวนะ เดี๋ยวก็ “ตายอย่างเขียด” หรอก อย่าหาว่าอาตมาไม่เตือนนะ
งูร้ายจึงเลื้อยไปทางอื่นด้วยความตกใจกลัว
-----------------------------------------------
ส่วน version ที่สอง ผมได้มาจาก ผู้เข้ารับการอบรมที่ทำงานด้านสัตว์น้ำจากภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ในการอบรมครั้งหนึ่งในกรุงเทพ แถวเขตบางเขน เรื่องก็มีอยู่ว่า
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มียายคนหนึ่ง มีอาชีพทำนาอยู่ริมเขตดงพญาเย็น
วันหนึ่ง ฝนตกลงมาแต่เมื่อคืนถึงเช้า ตกสายฝนหายแล้ว ยายแกก็ออกไปทำนาในท้องนาตามปกติ หลังฝนตกทั้งกบทั้งเขียดออกมาเต็มท้องนาไปหมด
ทำนาปักหนึ่ง ยายแกเกิดปวดท้องเบาขึ้นมา แถวนั้นไม่มีส้วม และก็ปลอดคนด้วย ยายเลยถกผ้าถุง นั่งฉี่ตรงเถียงนา โดยไม่ได้ดูให้รอบคอบ จึงฉี่รดหัวเขียดตัวหนึ่งพอดี เขียดตัวนั้นกำลังจ้องรอจังหวะจะกินเมลงตัวหนึ่งอยู่พอดี เมื่อฉี่อุ่น ๆ ของยายสัมผัสหัวเขียด เขียดก็ตกใจ กระโดดไปข้างหน้าสุดแรงเกิด
ปรากฏว่าเขียดเจ้ากรรมชะตาขาด มันกระโดดไปไม่ได้ไม่ไกล .อารามตกใจมันกระโดดเข้าไปติดตรงกลางช่องลับของยายแกพอดี
ยายแกตกใจพอ ๆ กับ เขียน ลุกขึ้นยืนทันที ทั้ง ๆ ที่เจ้าเขียดยังติดอยู่ตรงกลางของลับ ยายยิ่งตกใจใหญ่ ไม่รู้ตัวอะไรเข้าไป ดุกดิก ๆ อยู่ปากของลับ จึงยืนตัวแข็งทื่อแข็งอยู่อย่างนั้นมาก
กว่ายายจะตั้งสติได้ ค่อย ๆ อ้าขาออก เขียดผู้น่าสงสารตัวนั้นก็ตกลงมานอนหงายท้องตายแน่นิ่งอยู่กับพื้นนา ตายสนิท
นิทานเรื่องจึงเป็นที่มาของวลี "ตายหยังเขียด"
สองสำนวนที่ผ่านมาก็เป็นเรื่องต่ำกว่าสะดือ ตามวัฒนาธรรมพื้นบ้านของชาวไทยเรานะครับ แลละที่น่าสนใจมากไปกว่านั้นก็คือสำนวนแรกผู้ถ่ายทอดให้อาจารย์ขวัญฤดีเป็นผู้จัดการหญิงครับ ส่วนเรื่องที่สองผมได้รับการถ่ายทอดจากนักวิชาการผู้ชายครับ
สำนวนสุดท้ายทันสมัยครับ
เมื่อเร็วนี้ มีกบกับเขียดคู่หนึ่งเป็นเพื่อนสนิทกัน
เจ้ากบมักข้ามถนนกลับไปกลับเพื่อหาแมลงเสมอ
ส่วนเจ้าเขียดคุ้นเคยกับการหาอาหารอยู่ฝั่งเดียว
วันหนึ่งเจ้าเขียดเห็นเจ้ากบข้ามถนนกลับมาจากอีกฝั่งหนึ่ง
ก็ถามกบว่าข้ามถนนยังไง ข้าอยากรู้ จะได้ข้ามไปหาอาหารฝั่งโน้นบ้าง
กบบอกเขียดว่า จะไปยากอะไร เจ้าก็กระโดดไปเรื่อย ๆ
เเล้วพอรถมาเจ้าก็หลบตรงกลางที่ไม่มีล้อ
เพราะรถมีสี่ล้อ ข้างละสองล้อ ตรงกลางจะมีช่องว่าง ให้หลบตรงนั้น
พอรถผ่านไปแล้ว ก็กระโดดต่อไปเรื่อย ๆ จนถึงอีกฝั่งหนึ่ง
เจ้าเขียดรู้เคล็ดลับการข้ามถนนจากเพื่อนสนิทแล้วก็ดีใจ
ทบทวนบทเรียนจนมั่นใจแล้ว
วันต่อมาจึงตัดสินใจเดินทางข้ามถนนเป็นครั้งแรก
เจ้าเขียดโดดไปกลางถนน
พอได้ยินเสียงรถมาเจ้า เขียดก็เตรียมหลบตามสูตรที่เจ้ากบบอก
แต่อนิจจา ชะตาเจ้าเขียนขาด
รถคันแรกที่ขับมาทางเจ้าเขียด ....
เป็นรถ “สามล้อ”
จึงมีอีกล้อตรงกลาง นอกจากสองล้อข้าง ๆ
เรื่องนี้กบไม่ได้สอนเขียด อาจจะเพราะไม่เคยพบ
เจ้าเขียดผู้โชคร้ายจึงถูกล้อกลางของสามล้อเครื่องทับแบนเต็ดแต๋อยู่กลางถนน
เป็นการ “ตายหยังเขียด” !!!
No comments:
Post a Comment